วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

 ยังคงมีรายงานข่าวของ iPhone 5 มาให้ได้ติดตามกันเช่นเคย คราวนี้เป็น"เคส" ที่หลุดออกมาอีกแล้ว ซึ่งจากสิ่งที่เห็นค่อนข้างชัดเจนว่า iPhone 5 น่าจะมาพร้อมกับหน้าจอทีใหญ่ขึ้นคือ 4 นิ้ว ในขณะที่ตัวเครื่องจะมีความยาวมากขึ้นด้วย ด้านหลังโค้งมน และบางกว่า iPhone 4 ที่สำคัญ ดูเหมือนตัวเครื่องจะได้รับการดีไซน์ให้มีความหนาไม่เท่ากันตลอดทั้งเครื่องอีกด้วย


     


ช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวลือเกี่ยวกับเคสของ iPhone 5 ออกมาให้ได้ติดตามกันมากมาย ซึ่งส่วนที่ตรงกันมากที่สุดคือ หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเป็น 4 นิ้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพหลุดของเคส iPhone 5 ที่มีการเปิดเผยออกมานี้ อ้างว่า มันเป็นเคสที่พร้อมขาย เนื่องจากผ่านกาตรวจสอบ และรับรองโดย Apple แล้วว่า สามารถใช้งานร่วมกับ iPhone 5 ได้อย่างสมบูรณ์ จะว่าไปเคสใหม่ล่าสุดที่ในรูปนี้ก็ดูไม่ค่อยคุ้นกับที่ปล่อยกันออกมาก่อนหน้านี้สักเท่าไร โดยเฉพาะความยาวของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้น
เคส iPhone 5 ที่เห็นในรูปจะกว้าง และยาวกว่า iPhone 4 แถมยังแสดงให้เห็นดีไซน์บางอย่างทีสอดคล้องกับข่าวลือที่ว่า iPhone 5 จะมีความหนาไม่เท่ากันตลอดเครื่องโดยด้านบนจะหนากว่าด้านล่างของตัวเครื่อง ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ it4x เชื่อว่า กว่าจะถึงเดือนตุลาคมที่ทาง Apple น่าจะเปิดตัว iPhone 5 อย่างเป็นทางการในเดือนนี้ เราคงจะยังคงได้ติดตามข่าวลือออกมาอีกอย่างแน่นอน เอาเป็นว่า ก็คงต้องติดตามกันต่ไป ว่าแต่คุณผู้อ่านคิดเห็นกันอย่างไรครับ กับ iPhone 5 ที่มีหน้าจอ 4 นิ้ว มันคงจะถือได้ไม่กระชับมือเท่าเดิมเล็กน้อย แต่ได้จอที่ใหญ่ขึ้น OK ไหมครับกับคำตอบที่ออกมาแบบนี้
      ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน Samsung เปิดตัวกล้องดิจิตอลที่มาพร้อมกับฟังก์ชัน DualView โดยเจ้าของกล้องสามารถถ่ายรูปตัวเอง เพื่อให้ได้มุมที่สวยที่สุดได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมันมีจอ LCD ขนาดเล็ก (แสดงภาพเดียวกันกับจอ LCD ที่อยู่ด้านหลัง) อยู่ด้านหน้ากล้อง (front-facing LCD screen) ทำให้ผู้ใช้สังเกตมุมมองของภาพตัวเองได้ง่ายมาก ดูเหมือน Samsung จะชอบไอเดียที่ประสบความสำเร็จนี้


     


ว่าแล้ว ทางบริษัทก็ต่อยอดกล้องดิจิตอลคอมแพครุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติที่เหนือกว่าเดิม เรียกว่า MultiView โดยในงาน IFA 2011 ทาง Samsung ได้เปิดตัวกล้อง Samsung Multiview MV800 กล้องดิจิตอลรุ่นแรกที่มาพร้อมกับจอสัมผัส LCD 3 นี้วที่สามารถพับขึ้นไปด้านบน (พับยกจากด้านหลังขึ้นด้านบนเป็นมุม 180 องศา) ซึ่งทำให้คุณสามารถมองเห็นท่าทาง และมุมกล้องของตัวเองได้อย่างเต็มตาสะใจกว่าเดิม
คุณผู้อ่านอาจจะแย้งว่า หากพับจอ LCD ตั้งฉากขึ้นไปอย่างนั้น มันก็ปิดปุ่มชัตเตอร์กันพอดี ซึ่ง Samsung เองได้คิดเผื่อเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยทางบริษัทได้ออกแบบให้ MV800 มีปุ่มชัตเตอร์อันทีสองอยู่ที่ด้านหลังแทน ซึ่งสามารถใช้ลั่นชัตเตอร์ตัวเองได้อย่างง่ายดายไม่แพ้กัน และเพื่อให้มั่นใจว่า คุณสามารถเก็บภาพทุกคนได้ครบ MV800 จึงมาพร้อมกับเลนส์ไวด์ 26mm ส่วนคุณภาพของภาพที่ได้ก็จะละเอียดสวยงามคมชัดด้วย เซ็นเซอร์รับภาพ 16MP สามารถซูมออปติคัลได้ 5x บันทึกวิดีโอ HD ได้ พร้อมด้วยฟังก์ชันถ่ายรูป 3D (สามารถชมเอฟเฟกต์ 3D ได้เฉพาะเมื่อชมบน 3D HDTV) สนนราคาอยู่ที่ 279 หรือประมาณ 8,400 บาท (ลูกเล่นที่น่าสนใจยังมีอีกเพียบ เช่น สลับภาพศริษะกับตัวของคนในรูป หรือ Picture-in-Picture)

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 6 ระบบเครือข่าย Internet

บทที่ 6 ระบบเครือข่าย Internet
ตอนที่1
ไทยสาร หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของสถาบันและมหาวิทยาลัยกี่แห่ง ที่ใดบ้าง
ตอบ 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์แห่งชาติ มหาวิทบาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
1.             อินเทอร์เน็ต หมายถึงอะไร
ตอบ ระบบเครือขายที่เชื่อมโยงเครือข่ายมากมาย หลากหลายเครือข่ายทั่วโลกเข้าด้วยกัน
2.             Protocol คือ อะไร
ตอบ กฎกติกาหรือข้อตกลงในกานส่งข้อมูล
3.             อินเทอร์เน็ตใช้ Protocol ใดและ Protocol นั้นย่อมาจากคำว่าอะไร
ตอบ สำหรับการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ย่อมาจาก TCP/IP
4.             Username และ Password คือ อะไร
            ตอบ Username ชื่อในการล็อกอิน Password รหัสผ่าน

5.             www.nu.ac.th จากโดเมนย่อยของเว็บนี้ บอกให้เราทราบได้ว่าเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร
ตอบ เป็นการแสดงว่าเรากำลังใช้โปรแกรมใดอยู่       
6.             ให้นักศึกษาเขียนอีเมล์แอดเดรสต่อไปนี้ ชื่อผู้ใช้ Edu_com อยู่ที่ Server ของ Hotmail.com
ตอบ จะได้ Shortcut to Edu_com
7.             อินเทอร์เน็ตมีบริการอะไรให้เราได้ใช้งานบ้าง
ตอบ ค้นหาข้อมูลต่างๆ
8.             Shortcut to Edu_com ภาพนี้เป็นสัญลักษณ์อะไร จงอธิบาย
ตอบ ไอคอนการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่บริเวณเดสก์ท๊อป
     10.  เราสามารถใช้สิ่งใดในการเข้าดูเว็บไซต์ต่างๆ และยกตัวอย่างสิงนั้นมา 1 โปรแกรมที่นิยม

ตอนที่ 2
1.             NECTEC
ตอบ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
2.             Internet Service Provider
ตอบ บริษัทให้บรอการอินเทอร์เน็ตชิงพาณิชย์
3.             Protocol
ตอบ กฎกติกาหรือข้อตกลงในกานส่งข้อมูล                                                                                        
4.             TCP/IP
ตอบ โปรโตคอลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นมาตรฐานในการสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ต้องการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
5.             Username
ตอบ ชื่อในการล็อกอิน
6.             Password
ตอบ รหัสผ่าน
7.             Internet Address
ตอบ ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต
8.             IP Address
ตอบ หมายเลขอินเตอร์เน็ต
9.             Bulletin Board System
ตอบ กระดานข่าวหรือสถานีบริการข่าว ที่เปิดบริการให้แก่ผู้ใช้ทั่วไป
10.      Hypertext
ตอบ ข้อมูลในเอกสารที่สามารถเชื่อมโยงไปหาข้อความหรือคำสำคัญอื่นได้

บทที่ 5 ระบบเครือข่าย LAN

บทที่ 5 ระบบเครือข่าย LAN
ตอนที่ 1
1.ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หมายถึง
ตอบ การเชื่อมต่อกันตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป ซึ่งการติดต่อนั้นจะผ่านทางช่องสื่อสารต่างๆเช่นสายโทรศัพท์ สายไฟฟ้า โมเด็ม  สัญญาณอินฟราเรด
2.ระบบเครือข่าย LAN เป็นอย่างไร
ตอบ เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในบริเวณไม่กว้างนักอาจอยู่ในอาคารเดียวกัน
3.Topology คืออะไรและยกตัวอย่าง Topology มา 3 ชนิด
ตอบ แนวความคิดในการเชื่อมต่อสายส่งข้อมูล เช่น Star Ring Bus
4.ให้นักศึกษาอธิบาย Topology ที่นักศึกษาชอบ ทั้งบอกข้อดีและข้อจำกัด
ตอบ Bus คือการเชื่อมต่อแบบเส้นตรง
         ข้อดี ใช้สายส่งข้อมูลน้อย และมีรูปแบบที่ง่าย
         ข้อจำกัด หาข้อผิดพลาดของระบบยาก
5.มาตรฐานอุตสาหกรรมระบบเครือข่ายนั้น จัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด
ตอบ สร้าง มาตรฐาน Network ขึ้นเพื่อแบ่ง / ระบุให้ชัดเจน ว่าระบบใดควรใช้มาตรฐานใด
6.ระบบเครือข่ายมีประโยชน์อย่างไรบ้าง อธิบายมา 5 ข้อ
ตอบ 1.สามารถใช้ Hardware ร่วมกันได้
        2. สามารถใช้ Software ร่วมกันได้
        3.ประหยัดค่าใช้จ่าย
        4.ง่ายต่อการควบคุม
        5.สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่น
        7.เหตุใดบ้าง ที่สำนักงานของเราควรเลือกใช้ระบบเครือข่าย
           ตอบ 1.ต้องสื่อสารข้อมูลด้วยความเร็ว
           2.ต้องการใช้ E-mail
           3.ต้องการใช้อุปกรณ์ Hardwareต่างๆ ร่วมกันได้
 

    8.เราสามารถกำหนดไดร์ฟ หรือโฟลเดอร์ให้สามารถใช้ร่วมกัน ได้ด้วยคำสั่งใด
       ตอบ  คลิกขวาที่ไดร์ฟ หรือโฟลเดอร์และเลือกคำสั่ง Share and security
   9.My documents เป็นสัญลักษณ์ อะไรจงอธิบาย
     ตอบ  โฟลเดอร์ My documents กำหนดการ Share แล้ว
  10.เราสามารถตรวจสอบระบบเครือข่ายใน Windows Xp ได้ด้วยอย่างไร
      ตอบ ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน My Network places












ตอนที่ 2
1.computer network
ตอบ   ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อมต่อกันตั้งแต่2เครื่องขึ้นไป ซึ่งการติดต่อกันนั้นจะผ่านทางช่องทางการสื่อสารต่างๆ เช่น สายโทรศัพท์ สายไฟฟ้า เป็นต้น
2.Local area network
ตอบ   เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในบริเวณที่ไม่กว้างมักอาจอยู่ในอาคารเดียวดันหรืออาคารใกล้กัน เช่น ภายในมหาวิทยาลัย สำนักงาน เป็นต้น
3. network communication system
ตอบ  ระบบการสื่อสารภายในของ networkหรือลักษณะการรับ-ส่งข้อมูลตามสายนั้นเอง ใช้ NIC และ Cable หรือสายที่ใช่ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันซึ่งลักษณ์การต่อมีทั้งแบบสายตรง(Ethemet), แบบดาวกระจาย(ARCNET),แบบวงกลม(RINE)
4.Topology
ตอบ   แนวความคิดในการเชื่อมต่อสายส่งข้อมูล เช่น Star, ring, Bus เป็นต้น
5.Share Disk space
ตอบ   สามารถใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลรวมกันได้ เช่น hard disk, CD-row จากคอมพิวเตอร์เครื่อง file sesver ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้เก็บข้อมูล (data) ของUser และ software ทั้งระบบ และใช้ควบคุมการทำงานของระบบ networkด้วย
6.User
ตอบ  ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คนอื่นสร้างหรือเขียนไว้แล้ว
          มาใช้ (ไม่ได้เขียนโปรแกรมเอง)

7.LAN Protocol
ตอบ   โปรโตคอล (Protocol) สำหรับ LAN คือวิธีในการควบคุมกำหนดการรับ-ส่งหรือแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างผู้รับและผู้ส่งในเครือข่าย บางครั้งอาจเรียกแอสแซสโปรโตคอล (Access Protocol)



8.Infrared
ตอบ ระบบการสื่อสารไร้สาย (wireless) อีกรูปแบบหนึ่ง ลำแสงอินฟราเรด (Infrared
: IR) คือส่วนหนึ่งของสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า

9.Workstation
ตอบ แลกเปลี่ยน แบ่งปันความรู้ สาระ เรื่องราวต่าง ๆ ... (
multitasking) ส่วนมากจะใช้ในเรื่องของการออกแบบ (CAD)
10. Share Software Packages
ตอบ ในปัจจุบันสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์
ทาง Software ถ้าเรายังคงมี PC แต่ละเครื่องใช้งาน         แยกกันอยู่






บทที่ 4 การจัดข้อมูลและการผลิตเอกสาร

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทคโนโลยี



ความหมายของเทคโนโลยี
               คำว่า เทคโนโลยี ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า "Technology" ซึ่งมาจากภาษากรีกว่า "Technologia" แปลว่า การกระทำที่มีระบบ อย่างไรก็ตามคำว่า เทคโนโลยี มักนิยมใช้ควบคู่กับคำว่า วิทยาศาสตร์ โดยเรียกรวม ๆ ว่า "วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" ซึ่งพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน (2539 : 406) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยี คือ วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการนำเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม นอกจากนั้นยังมีผู้ให้ความหมายของเทคโนโลยีไว้หลากหลาย ดังนี้ คือ ผดุงยศ ดวงมาลา (2523 : 16) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีว่าปัจจุบันมีความหมายกว้างกว่ารากศัพท์เดิม คือ หมายถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ   เครื่องจักรกล สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ทาง อุตสาหกรรม ถ้าในแง่ของความรู้                                                    เทคโนโลยี  หมายถึง      ความรู้หรือศาสตร์ที่เกี่ยวกับเทคนิคการผลิตใน
อุตสาหกรรม ที่จะเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ หรืออาจสรุปว่า เทคโนโลยี คือ ความรู้ที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์เอง ทั้งในแง่ความเป็นอยู่และการควบคุมสิ่งแวดล้อม สิปปนนท์ เกตุทัต (ม.ป.ป. 81) อธิบายว่า เทคโนโลยี คือ การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ มาผสมผสานประยุกต์ เพื่อสนองเป้าหมายเฉพาะตามความต้องการของมนุษย์ด้วยการนำทรัพยากรต่าง ๆ มาใช้ในการผลิตและจำหน่ายให้ต่อเนื่องตลอดทั้งกระบวนการ เทคโนโลยีจึงมักจะมีคุณประโยชน์และเหมาะสมเฉพาะเวลาและสถานที่ และหากเทคโนโลยีนั้นสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีนั้นจะเกื้อกูลเป็นประโยชน์ทั้งต่อบุคคลและส่วนรวม หากไม่สอดคล้องเทคโนโลยี นั้น ๆ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมามหาศาล ธรรมนูญ โรจนะบุรานนท์ (2531 : 170) กล่าวว่า
           เทคโนโลยี คือ ความรู้วิชาการรวมกับความรู้วิธีการ และความชำนาญที่สามารถนำไปปฏิบัติภารกิจให้มีประสิทธิภาพสูง โดยปกติเทคโนโลยีนั้นมีความรู้วิทยาศาสตร์รวมอยู่ด้วย นั้นคือวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ เทคโนโลยีเป็นการนำความรู้ไปใช้ในทางปฏิบัติ จึงมักนิยมใช้สองคำด้วยกัน คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเน้นให้เข้าใจว่า ทั้งสองอย่างนี้ต้องควบคู่กันไปจึงจะมีประสิทธิภาพสูง ส่วน ชำนาญ เชาวกีรติพงศ์ (2534 : 5) ได้ให้ความหมายสั้น ๆ ว่า เทคโนโลยี หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยการประกอบวัตถุเป็นอุตสาหกรรม หรือวิชาช่างอุตสาหกรรม หรือการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ในทางปฏิบัติจากการที่มีผู้ให้ความหมายของ เทคโนโลยีไว้หลากหลาย สรุปได้ว่า เทคโนโลยี หมายถึง วิชาที่นำเอาวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ มาประยุกต์ใช้ตามความต้องการของมนุษย์ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงความหมายของเทคโนโลยีเป็นภาษา ง่าย ๆ ว่า หมายถึง การรู้จักนำมาทำให้เป็นประโยชน์นั่นเอง (เย็นใจ เลาหวณิช. 2530 : 67)
                   อินเตอร์เนต (Internet) คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก โดยมีมาตรฐานการรับส่งข้อมูลระหว่างกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งคอมพิวเตอร์ แต่ละเครื่องสามารถรับส่งข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบ เช่น ตัวอักษร,ภาพกราฟิกและเสียงได้ รวมทั้งสามารถค้นหาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อินเตอร์เน็ตเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไซเบอร์สเปซ (Cyberspace) คำเต็มของอินเตอร์เน็ต คือ อินเตอร์เน็ตเวิร์กกิง (Internetworking) ต่อมานิยมเรียกสั้นๆ ว่า อินเตอร์เน็ต หรือ เน็ต อินเตอร์เน็ตมีประวัติความเป็นมาอย่างไร อินเตอร์เน็ต กำเนิดขึ้นครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2512 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยองค์การทางทหารเป็นผู้คิดค้นระบบขึ้นเพื่อใช้เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ไม่มีวันตาย แม้การสื่อสารจะถูกตัดขาด เพราะใช้วิธีการสื่อสารในรูปของคลื่นไมโครเวฟ เรียกว่า ARPAnet เรียกสั้น ๆ ว่า อาร์พา (ARPA : Advanced Research Project Agency) ในปี พ.ศ. 2526 อาร์พาเน็ตก็ได้แบ่งออกเป็น 2 เครือข่าย คือ เครือข่ายด้านงานวิใจ ใช้ชื่ออาร์พาเน็ตเหมือนเดิม และเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต (MILNET : Millitary Network) ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet) เป็นครั้งแรก สำหรับประเทศไทย อินเตอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530-2535 โดยมีการเชื่อมต่อ 2 แห่ง คือ ศูนย์เทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (NECTEC) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาในปี 2538 ก็มีการเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ ( รายแรก คือ อินเตอร์เน็ต KSC ) ซึ่งขณะนั้น เวิร์ลด์ไวด์เว็บกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา ทำไมต้องใช้อินเตอร์เน็ต ในยุคสังคมข่าวสารข้อมูลดังทุกวันนี้ การสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้คนเราสามารถสื่อสารถึงกันง่ายที่สุดและสะดวกที่สุด การสื่อสารถึงกันด้วยคำพูด ผ่านทางโทรศัพท์ย่อมไม่เพียงพออีกต่อไป เราต้องการมากกว่านั้น เช่น ภาพ เสียงและข้อความตัวอักษร รวมทั้งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งอินเตอร์เนตสามารถ เข้ามาตอบสนองในจุดนี้ได้ อินเตอร์เน็ตมีประโยชน์อย่างไร ด้านการศึกษา เราสามารถต่อเข้ากับอินเตอร์เนตเพื่อค้นคว้าหาข้อมูลได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการจากที่ต่าง ๆ ซึ่งในกรณีนี้ อินเตอร์เนตจะทำหน้าที่เหมือนห้องสมุดขนาดยักษ์ ส่งข้อมูลที่เราต้อการมาให้ถึงบนจอคอมพิวเตอร์ของเราในเวลาไม่กี่วินาทีจาก แหล่งข้อมูลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์, วิศวกรรม, ศิลปกรรม, สังคมศาสตร์, กฎหมายและอื่น ๆ นักศึกษามหาวิทยาลัยสามารถติดต่อกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ทั้งข้อมูลที่เป็นตัวอักษร, ภาพและเสียงหรือแม้แต่มัลติมิเดียต่าง ๆ ด้านการรับส่งข่าวสาร ผู้ใช้ที่ต่อเข้าอินเตอร์เนตสามารถรับส่งข้อมูลจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) กับผู้ใช้คนอื่น ๆ ทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็วได้โดยมีค่าใช้ จ่ายต่ำมากเมื่อเทียบกับการส่งจดหมายหรือส่งข้อมูลวิธีอื่น ๆ นอกจากนั้นยังอาจส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แฟ้มข้อมูล รูปภาพ จนไปถึงข้อมูลที่เป็น ภาพและเสียงได้อีกด้วย ด้านธุรกิจและการค้า อินเตอร์เนตมีบริการในรูปแบบของการซื้อขายสินค้าผ่านคอมพิวเตอร์ เราสามารถเลือกดูสินค้าพร้อมทั้งคุณสมบัติต่าง ๆ ผ่านจอ คอมพิวเตอร์ของเราแล้วสั่งซื้อและจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตได้ทันที ซึ่งนับว่าสะดวกและรวดเร็วมาก นอกจากนี้ผู้ใช้ที่เป็นบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้ บริการและสนับสนุนลูกค้าของคนผ่านอินเตอร์เนตได้ เช่น การตอบคำถาม, ให้คำแนะนำ รวมถึงการให้ข่าวสารใหม่ ๆ แก่ลูกค้าได้ ด้านการบันเทิง เราสามารถเข้าไปเลือกอ่านหนังสือ วารสารต่าง ๆ ผ่านอินเตอร์เนตได้ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ ดนตรีและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งปัจจุบันเรา สามารถทำเป็นภาพเคลื่อนไหวและมีเสียงประกอบได้อีกด้วย อินเตอร์เน็ตมีบริการอะไรบ้าง ไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail : Electronics mail) เป็นบริการที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลแลกเปลี่ยนกันในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ผู้ส่งจะใช้ E-mail Adrress ของตัวเอง ส่งข้อมูลประเภทข้อความ รูปภาพหรือเสียง ผ่านจอคอมพิวเตอร์ไปยัง E-mail Address ของผู้รับ โดยที่ผู้รับจะรับเวลาใดหรือตอบกลับเวลาใดก็ได้ ซึ่งนอกจากจะให้ความสะดวก รวดเร็ว แล้วยังเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายอีกด้วย เครือข่ายใยแมงมุม (WWW : World Wide Web) เป็นบริการค้นหาและแสดงข้อมูลในแบบสื่อประสม (Multimedia) คือจะเป็นข้อมูลที่มีทั้งข้อความ ภาพและเสียงประกอบกัน ซึ่งเป็นบริการที่แพร่หลาย และขยายตัวเร็วที่สุดบนอินเทอร์เน็ต การถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล (FTP : File Transfer Protocol) เป็นบริการที่ใช้ในการโอนย้ายแฟ้มข้อมูลหรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ต้องการบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง ในระบบการส่งไฟล์นี้อาจเป็นการส่งผ่านเครื่องใด ๆ ในระบบมาไว้ยังเครื่องของเรา ซึ่งเรียกว่า ดาวน์โหลด(Download) หรือส่งผ่านจากเครื่องเราไปยังเครื่องอื่นๆ ในระบบ เรียกว่า การอัพโหลด(Upload) การทำงานข้ามเครื่อง (TelNet) บริการที่ผู้ใช้บริการต้องการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไป สามารถเข้าใช้งานเครื่องอื่น ๆ ได้ทั่วโลกเหมือนกับเราไปที่เครื่องนั้นเอง ซึ่งจะต้องมีชื่ออยู่ในสารบบที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ โดยจะใช้ระบุชื่อและรหัสผ่าน ถ้าระบุได้ถูกต้องก็จะสามารถเข้าไปใช้งานได้ทันที การสนทนาบนเครือข่าย (IRC : Internet Relay Chat) ผู้ใช้บริการสามารถคุยโต้ตอบกันทางตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์หรือคุยกันเป็น กลุ่มหลายๆ คนในลักษณะของการ Chat เช่น โปรแกรม Microsoft Chat, Pirch และ ICQ เป็นต้น ยังมีโปรแกรมที่พัฒนาให้สามารถพูดโต้ตอบกันผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้เช่นเดียว กับทางโทรศัพท์ เช่น โปรแกรม Cooltalk เป็นต้น
กลุ่มข่าวที่สนใจ (UseNet) เป็นบริการที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลและข่าวสารของกลุ่มสนทนาแลกเปลี่ยนข่าว สารต่าง ๆ เพื่อให้ผู้สนใจตรงกัน หรือคล้าย ๆ กัน ได้ส่งข่าวติดต่อกันและแลกเปลี่ยนแนวคิด การค้นหาข้อมูลและไฟล์ข้อมูล (Gopher/Archie) เป็นบริการสืบค้นข้อมูล โกเฟอร์(Gopher) เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลเพียงค้นหาทีละหัวข้อ แต่ละหัวข้อจะมีเมนูย่อย ๆ ให้เลือก อาร์ชี(Archie) ผู้ใช้บริการทราบเพียงรายละเอียดบางอย่างก็จะแสดงรายชื่อออกมาให้ผู้ใช้ทราบ ว่าอยู่ที่ใดบ้าง เครื่องมืออะไรที่ใช้ในการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ปกติแล้ว หากต้องการข้อมูลใดๆ ก็ตามบนอินเตอร์เน็ต คุณจะต้องเข้าไปสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณที่ใช้บริการจะเป็นใครรลเอนต์ และเครื่องที่ให้บริการในการค้นหาจะเรียกว่าเป็น เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งระบบอินเตอร์เน็ตจริงๆ แล้วก็คือ ระบบใครรลเอนต์ เซิร์ฟเวอร์ (Client / Server) นั่นเอง ดังนั้นในการใช้บริการอินเตอร์เน็ต ก็คือ การใช้บริการในลักษณะที่เป็นใครรลเอนต์ เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ตนั้น จะมีอยู่ตัวหนึ่งที่เรียกว่า เว็บบราวเซอร์ (Web Browser) ที่จะเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการเลือกดูเอกสารในระบบอินเตอร์เน็ตที่เป็น เวิร์ลด์ไวด์เว็บ ซึ่งเว็บบราวเซอร์นั้น จะต้องเชื่อมต่อไปที่เว็บเซิร์ฟเวอร์ (หรืออาจเรียกว่าโฮสต์) เพื่อขอข้อมูลในการใช้งานต่าง ๆ ข้อดีของเว็บบราวเซอร์ก็คือ สามารถดูเอกสารภายในเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างสวยงาม มีการแสดงข้อความ รูปภาพและระบบมัลติมีเดียต่างๆ ทำให้การดูเอกสารบนเว็บนั้นน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน (และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมเช่นกัน) สิ่งที่จำเป็นต้องรู้บนอินเตอร์เน็ตมีอะไรบ้าง ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต (Internet Address) หรือ E-mail Address จะประกอบด้วยชื่อของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (user) และชื่อของอินเตอร์เน็ต (Internet Name) โดยจะมีรูปแบบคือ ผู้ใช้@โฮสต์ของอินเตอร์เน็ต ตัวอย่าง เช่น saharath@mail.ksc.net.th. จะหมายถึงผู้ใช้ชื่อ saharath เป็นสมาชิกของคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Mail ที่มีชื่ออินเตอร์เน็ตเป็น ksc.net.th หรือ sayam@internet.th.com จะหมายถึงผู้ใช้ชื่อ sayam เป็นสมาชิกของเครื่องที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเป็น internet.th.com หมายเลขอินเตอร์เน็ต
หมายเลขอินเตอร์เน็ต หรือ IP Address จะเป็นรหัสไม่ซ้ำกัน ประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด ที่คั่นด้วย เครื่องหมายจุด (.) ตัวอย่าง เช่น 203.155.33.1 จะเป็น IP Adress ของเครื่อง ksc.net.th (แต่ละชุดจะไม่เกิน 255)
ชื่ออินเตอร์เน็ต ชื่ออินเตอร์เน็ต (DNS:Domain Name Server) จะเป็นชื่อที่อ้างถึงคอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น (เนื่องจาก IP Address เป็นตัวเลข 4 ชุด ที่ยากในการจดจำ) เช่น mail.ksc.net.th, jupiter.ksc.net.th (mail คือ ชื่อคอมพิวเตอร์ , ksc คือชื่อเครือข่ายท้องถิ่น, net คือชื่อที่ซับโดเมน , th คือชื่อโดเมน)



  สายแลนคืออะไร
              สาย ที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ที่เรียกว่า Switch หรือ HUB (แต่เราสามารถเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ได้ด้วยเช่นกัน) สายแลนมีอยู่หลายประเภท แต่ละประเภทจะมีความสามารถในการรับ-ส่งสัญญาณแตกต่างกันออกไป สำหรับปัจจุบันสายแลนที่นิยมใช้กันมากคือ UTP (UNSHIELD TWISTED PAIR) คือ สายตีเกลียวที่ไม่มีตัวป้องกัน ส่วนหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อสายแลนเรียกว่า RJ45
ประเภทของสาย UTP
UTP CAT5 คือ สายแลน ที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 100 Mbps (ไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้ว)
UTP CAT5e คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 1 Gpbs
UTP CAT6 คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10 Gpbs BANWIDTH อยู่ที่ 250MHz
UTP CAT7 คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10 Gpbs BANWIDTH อยู่ที่ 600MHz
การเข้าสายแลน และ ต่อสายแลน
ใน ระบบเครือข่ายการใช้สาย UTP นั้นหลายคนคงสงสัยอยู่ว่าบางครั้งเขาใช้สายธรรมดา บางครั้งใช้สาย Cross บ้าง แล้วสองสายนี้แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ลองมาดูลักษณะการเชื่อมต่อภายในของสาย UTP 8 เส้นที่ว่าก่อนดีกว่าว่าเป็นยังไงบ้าง
ดูรูปเลยแล้วกัน ถ้าเป็นการเข้าสายแบบธรรมดาหรือที่เขาใช้กันทั่วไป จะเป็นการต่อแบบที่ 1 ไป และ 2 ไป 2 จนถึง 8 ส่วนการไล่สีก็จะมีเป็นมาตรฐานกลาง ๆ ในการ ใช้ดังที่แสดงอยู่นั่นแหละ อันนี้เขาจะใช้เชื่อมต่อระหว่าง เครื่องคอมพิวเตอร์มาที่ HUB หรือ Switching
ส่วนข้างล่างนี้เป็นการเข้า สายที่เราเรียกว่า Cross Cable นั่นเอง สังเกตว่าจะเป็นการสลับระหว่าง 1,2,3,6 ซึ่งเขา มักจะใช้ในกรณีของเชื่อมต่อระหว่าง HUB-to-HUB โดยที่ไม่ผ่านทาง Uplink Port คือ ต่อจาก Port ธรรมดาไป Port ธรรมดา เขาต้องใช้สาย Cross และเราสามารถนำมาดัดแปลง ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่องที่ต้องการต่อเป็น เครือข่ายโดยผ่านทางสาย UTP ได้โดยการใส่ LAN Card ลงที่เครื่องทั้งสองแล้วใช้สาย Cross ในการเชื่อมต่อเครื่อง ทั้งสองให้เป็นระบบเครือข่ายโดยไม่ต้องใช้ HUB ก็ได้
ส่วนสายอีก 4 เส้นที่เหลือคือ 4,5,7,8 ก็ไม่ต้องไปสลับอะไรกับมันก็ได้ เพราะว่าไม่ได้ใช้ในการส่งสัญญาณการต่อสายแลน
การทำสายสัญญาณ เพื่อใช้เองในบ้านหรือในสำนักงานขนาดเล็กก็ได้ วิธีการก็ไม่มีอะไรมากอย่างแรกเลยก็จัดเตรียมเรื่องของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ให้ครบถ้วนก่อนจะได้ไม่ต้องวิ่งหาตอนติดตั้ง โดยอุปกรณ์โดยทั่วไปก็มี สายสัญญาณหรือ UTP Cable หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าสาย LAN แล้วก็หัว RJ-45 (Male), Modular Plug boots หรือตัวครอบสาย หากว่ามี Wry Marker แล้วก็จะมีเหมือนกันเพราะว่าจะช่วยในการทำให้เราจำสายสัญาณได้ว่าปลายด้าน ไหนเป็นด้านไหน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วก็จะเป็นหมายเลข ไว้ใส่ในส่วนปลายทั้งสองด้านเพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบระบบสายสัญญาณ คีมแค้มสายสัญญาณ หรือ Crimping Tool, มีดปอกสาย หรือ Cutter
เอาละมาว่า กันเลยดีกว่าก่อนอื่นก็หยิบมีดหรือ Cutter อันเล็ก ๆ มาอันหนึ่งแล้วก็เล็งไปที่นิ้วจากนั้นก็ตัดนิ้วทิ้งไปซะ แล้วค่อยเอาหัว RJ มาต่อกับนิ้วแทน เท่านี้คุณก็สามารถเชื่อมต่อตัวคุณเองเข้าสู่ระบบเครือข่ายด้วยความไวสูงสุด ถึง 100 มิลลิลิตรต่อนาที บางทีอาจจะเป็น Full Duplex Mode อีกต่างหาก ล้อเล่น ๆ เอาละนะใช้มีดปอกสายสัญญาณที่เป็นฉนวนหุ้มด้านนอกออกให้เหลือแต่ สายบิดเกลียวที่อยู่ด้านใน 8 เส้นแล้วก็จะเห็นด้ายสีขาว ๆ อยู่ให้ตัดทิ้งได้ โดยการปอกสายสัญญาณนั้นให้ปอกออกไว้ยาว ๆ หน่อยก็ได้ประมาณสัก 1 เซ็นครึ่งก็น่าจะได้นะตามตัวอย่างดังรูปข้างล่างนี้
จากนั้นก็ให้ใส่ Modular Plug boots เข้ากับสาย UTP ด้านที่กำลังจะต่อกับหัว RJ-45 ไว้ก่อนเลยดังรูปข้างล่างนี้

รูปแสดงคีมหรือ Crimping Tool ที่จะใช้ในการแค้มหัว อันนี้เป็นของยี่ห้อ Amp ราคาในตลาดก็คงประมาณ 5,000-6,000 บาทแต่ถ้าไม่ได้ใช้เยอะก็แนะนำให้เดินซื้อแถวพันทิพย์ หรือ ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ทุกมุมในปัจจุบันนี้ ถ้าเอาแบบพอใช้ได้ราคาก็ประมาณ 400-800 บาท คุณภาพก็พอใช้ได้นะ ผมก็เคยซื้อมาใช้หลายอันแล้ว แต่ของ Amp นี้ค่อนข้างน่าใช้และชัวร์กว่าเยอะในการเข้าสาย แต่ราคานี่สิผมว่ามันไม่ค่อยจะน่าสนเท่าไหร่ ถ้าเราไม่มีอาชีพในการทำงานด้านนี้เฉพาะหรือ ต้องมีการเดินระบบสายสัญญาณบ่อย ๆ


รูปของคีมหรือ Crimping Tool ด้านหน้าที่จะใช้แค้มสาย
หลัง จากที่ปอกสายเสร็จแล้วก็ให้ทำการแยกสายทั้ง 4 คู่ที่บิดกันอยู่ออกเป็นคู่ ๆ ก่อนโดยที่ให้แยกคู่ต่าง ๆ ตามลำดับต่อไปนี้ ส้ม-ขาวส้ม --- > เขียว-ขาวเขียว --- > น้ำเงิน-ขาวน้ำเงิน --- > น้ำตาล-ขาวน้ำตาล เพื่อแบ่งสายออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ก่อน จากนั้นจึงค่อยมาทำการแยกแต่ละคู่ออกมาเป็นเส้น โดยให้ไล่สีดังนี้
ขาวส้ม --- > ส้ม --- > ขาวเขียว --- > น้ำเงิน ---> ขาวน้ำเงิน --- > เขียว --- > ขาวน้ำตาล --- > น้ำตาล
ซึ่งสี ที่ไล่นี้เป็นสีที่ใช้เป็นมาตรฐานในการเชื่อมต่อ ซึ่งจริง ๆ แล้วการเข้าสายมีมาตรฐานการไล่สีอยู่หลัก ๆ ก็ 2 แบบแต่ในที่นี้ผมเอาแบบนี้แล้วกันเพราะว่าส่วนมากแล้วเขาจะใช้วิธีการไล่สี แบบนี้ หลังจากจัดเรียงสีต่าง ๆ ได้แล้วก็ให้จัดสายให้เป็นระเบียบ ให้พยายามจัดให้สายแต่ละเส้นชิด ๆ กัน ดังรูป
หลังจากนั้นให้ใช้คีมตัดสายสัญญาณที่เรียงกันอยู่นี้ให้มีระบบปลายสายที่ เท่ากันทุกเส้น โดยให้เหลือปลายสายยาวออกมาพอสมควร จากนั้นก็ให้เสียบเข้าไปในหัว RJ-45 ที่เตรียมมา โดยให้หันหัว RJ-45 ดังรูปจากนั้นค่อย ๆ ยัดสายที่ตัดแล้วเข้าไป โดยพยายามยัดปลายของสาย UTP เข้าไปให้สุดจนชนปลายของช่องว่าในหัว RJ-45 เลย
จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเชื่อมต่อสายสัญญาณในช่วงนี้ก็คือต้องยัดฉนวน หุ้มที่หุ้มสาย UTP นี้เข้าไปในหัว RJ-45 ด้วย โดยพยายามยัดเข้าไปให้ได้ลึกที่สุดแล้วกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการหักงอของสายง่าย โดยให้ยัดเข้าไปให้ได้ดังรูปข้างล่างนี้
แล้วก็นำเข้าไปใส่ในช่องที่เป็นช่องแค้มหัวของ RJ-45 ในคีมที่จะใช้แค้มหัว หรือ Crimping Tool ให้ลงล็อกของคีมพอดี จากนั้นก็ให้ทำการกดย้ำสายให้แน่น เพื่อให้ Pin ทีอยู่ในหัว RJ-45 นั้นสัมผัสกับสายทองแดงที่ใส่เข้าไป บรรจงนิดหนึ่งนะครับในช่วงนี้ เพราะว่าเป็นช่วงหัวเลียวหัวต่อของชีวิตสายสัญญาณของคุณเลยแหละ เท่าที่ประสบการในการเข้าสายสัญญาณของผม ถ้าเป็นไอ้เจ้า Amp นี่ก็ไม่ต้องออกแรงมากเท่าไหร่ก็ OK ได้เลย แต่ถ้าเป็นแบบของทั่ว ๆ ไปก็คงต้องออกแรงกดกันนิดหนึ่งแล้วกัน

ที่สุดก็จะได้ปลายสัญญาณของระบบที่คุณต้องการดังกล่าวดังรูป ที่นี้ก็ไปทำอย่างที่ว่ามานี้อีกครั้งหนึ่งที่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง แต่อย่าหลงเข้าใจผิดว่านี่เป็นสาย Cross นะ เพราะว่าสาย Cross นั้นคุณต้องทำการสลับสายสัญญาณที่เข้านี้ ลองไปดูหัวข้อ Tip of the Day นะผมแนะนำการเข้าสาย Cross ไว้ที่นั่นแล้ว เพราะว่าการเข้าสายทั้งสองแบบนี้การไล่สีของสายไม่เหมือนกัน แตกต่างกันนิดหน่อย ส่วนสาย Cross เราสามารถนำเอาไปเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้เป็นระบบเครือข่ายได้โดยที่ไม่ต้องใช้ HUB ได้เลย แต่ได้แค่ 2 เครื่องเท่านั้น ส่วนสายแบบที่ต่อตรง ๆ นั้นจะใช้เชื่อมต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์มายัง HUB